วันเวลาได้เดินหน้าต่อไปอย่างไม่เคยหยุดรอคอยผู้ใด ยังคงให้ความสิ้นไปเสื่อมไปแก่ทุกสรรพสิ่ง รวมทั้งชีวิตของเราอย่างเสมอหน้าและเท่าเทียมกัน ไม่ต้องอ้อนวอนร้องขอ กาลเวลาก็มอบให้ ให้โดยไม่สนใจว่า เราต้องการหรือไม่
“สิ่งที่กาลเวลาให้เรามาก็ คือ ความเกิด ความแก่ และ ความตาย “
ตัวเรา และ สรรพสิ่ง เกิดมาท่ามกลางห้วงของกาลเวลา และท้ายที่สุด ก็จะต้องจากไป ในห้วงหนึ่งของกาลเวลา เช่นเดียวกัน
“ในบางครั้ง ถึงแม้เราจะพยายามเพื่อให้ได้สิ่งที่เราปรารถนาสักปานใดก็ตาม ก็หาได้ตามความต้องการไม่ ถ้ามันยังไม่ถึงเวลา”
เราทุกคนมีเวลาเป็นของๆ ตนด้วยกันทุกๆคน ที่จะประกอบกิจกรรมต่างๆ ทั้งสิ่งที่เป็นความดี และความไม่ดี พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า
” ไม่ว่าจะทำสิ่งไหน ดี หรือ ชั่ว ก็ตาม ล้วนแต่มีผลแก่ตัวของเราเองทั้งสิ้น “
ดังนั้น ทุกคนจงเพียรประพฤติความดี เพราะผลของความดีจะนำเราเข้าสู่สุคติภูมิ ชีวิตนี้น้อยนัก ทุก คนรู้จักว่าเราเกิดมาเมื่อใด แต่ไม่มีใครรู้เลยว่า วันตายนั้นจะเมื่อใด และเมื่อไรจะมาถึง มัจจุราช คือ ความตาย เดินติดตามตัวเราอยู่ตลอดเวลา เป็นเด็กๆ ก็ตายได้ เป็นหนุ่มสาวก็ตายได้ เป็นคนเฒ่าคนแก่ยิ่งตายเร็ว ตายหมดไม่มีเหลือ
ชีวิตนี้เราลิขิต แต่ผู้มีปัญญานั้น เขาสามารถลิขิตชีวิตหลังความตาย ได้ด้วยตัวของเขาเอง อยาก มีอนาคตอย่างไรมันขึ้นอยู่กับว่า เราทำวันนี้อย่างไร พระพุทธองค์ท่านทรงเตือน ให้เราพยายามกระทำบุญกุศล อันได้แก่ ทาน ศีล ภาวนา ให้มากๆ เข้าไว้ รักษาใจให้ สะอาด สว่าง และ สงบ อยู่เสมอ เพราะสิ่งเหล่านี้แหละคือ สิ่งที่จะบอกเราได้ว่า อนาคตของเรานั้นจะเป็นอย่างไร[/x_text]
คงเหลือแต่ ต้นทุน บุญกุศล
ทรัพย์สมบัติ ทิ้งไว้ ให้ปวงชน
แม้ร่างตน เขายังเอา ไปเผาไฟ
เมื่อเจ้ามา มีอะไร มาด้วยเจ้า
เจ้าจะเอา แต่สุข สนุกไฉน
เมื่อเจ้ามา มือเปล่าแล้วเจ้า จะเอาอะไรไป
เจ้าก็ไป มือเปล่า เหมือนเจ้ามา[/x_text][x_text]ขอความเจริญในธรรมจงมีแก่ท่านสาธุชนทั้งหลายโดยทั่วกัน
พระครูสังฆรักษ์ ธงชัย สุภชโย
๔ สิงหาคม ๒๕๕๐[/x_text]